
“ชอบค่ะ ไม่กลัวเลย เวลาอยู่บนเวที คิดแค่จะชกยังไงให้ดีที่สุด” …เป็นเสียงใส ๆ จากสาวน้อยวัย 22 ปี ดีกรี “แชมป์โลกมวยไทยอาชีพ” ที่นอกจากแม่ไม้มวยไทยจะเด็ดดวงแล้ว “หน้าตาน่ารัก” ของเธอก็เป็นอีกจุดเด่น ที่ดึงดูดผู้คนให้หันมาสนใจนักมวยสาวคนนี้ด้วย …วันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปเลาะสังเวียนผ้าใบ เพื่อรู้จักเธอให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น…
“ซาซ่า ศ.อารีย์” สาวนักมวยดีกรีแชมป์โลก
ชื่อในวงการมวยของนักมวยสาวคนนี้ คือ ซาซ่า ศ.อารีย์ ส่วนชื่อและนามสกุลจริง คือ อังศนา คำหาญพล ซึ่งเธอมีดีกรีเป็นแชมป์ศึกอัศวินดำสเตเดี้ยม, แชมป์สหพันธ์มวยไทยอาชีพโลก รุ่น 112 ปอนด์, แชมป์ช่อง 9 และเจ้าของเหรียญเงินมวยไทยสมัครเล่นชิงแชมป์โลก รุ่นฟลายเวตหญิง โดยก่อนหน้าที่จะหันมาชกมวย เธอเคยเป็นนักกีฬาวูซู และคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 38 หรือตรังเกมส์ อีกด้วย…เรียกว่าสาวคนนี้ “เกิดมาเพื่อเป็นนักกีฬา” โดยแท้
เธอเล่าว่า เป็นลูกสาวคนกลางของคุณพ่อ รัฐกาญจน์ คำหาญพล (ไกรสรทอง เมืองนางรอง อดีตนักมวยไทยชื่อดัง) และคุณแม่ สายวสัน มีพี่สาวชื่อ ธิวารัตน์ อายุ 27 ปี กับน้องชายคนเล็กชื่อ ณัฐภัทร อายุ 7 ขวบ ปัจจุบันครอบครัวมีธุรกิจร้านรีไซเคิลในพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี ขณะนี้เธอเป็นบัณฑิตป้ายแดงหมาด ๆ โดยเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งวันที่ “ทีมวิถีชีวิต” ได้สนทนากับเธอ เธอบอกว่าขณะนี้ตารางงานแน่นเอี๊ยด โดยหลังจากเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว ก็มีคิวต้องขึ้นชกในรายการ R1 (One round knock-out) ที่ The Street รัชดา ต่อเล
“ไฟต์นี้ ซาซ่าจะชกกับนักชกมวยไทยชาวต่างชาติ เป็นการชกแบบวันเดียวรู้ผลเลย เลยต้องซ้อมหนักมาก”
นอกจากนั้น สาวซาซ่ายังบอกเราว่า ไฟต์นี้เป็นรายการสำคัญ หลังจากเธอหยุดชกมวยไปนานถึงกว่า 2 ปี เพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ เพราะเรียนหนักมากเนื่องจากเป็นภาคพิเศษ โดยจะเรียนในช่วงเย็นของทุกวัน ขณะที่ในช่วงกลางวันเธอจะไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟ หรือไม่ก็โชว์ตัวในงานมวยไทยต่าง ๆ แต่ตอนนี้มีงานประจำที่ Pinto Fight Studio โดยรับผิดชอบเป็นแอดมิน ซึ่งชื่อยิมนี้หลายคนฟังแล้วคุ้น ๆ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นยิมของเพื่อนชายคนสนิทอย่าง “ลีโอ ปินโต” นั่นเอง
การเตรียมตัวก่อนขึ้นชกนั้น ซาซ่า เล่าว่า ก่อนถึงวันชกจริงอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ต้องซ้อมหนักขึ้นจากปกติ โดยกิจวัตรประจำวันของเธอ เริ่มตั้งแต่ตอนเช้า 06.30 น. จะออกวิ่งเป็นระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร จากนั้นจะกลับมาวอร์มร่างกาย และเล่นเวต ยืดเส้นยืดสายยืดกล้ามเนื้อ แล้วจึงทานอาหารเช้า และพักผ่อน พอถึงเวลา 16.00 น. ก็จะซ้อมอีกครั้งจนถึง 18.00 น. “ตอนนี้ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมที่สุดค่ะ”…นักมวยสาวกล่าว อย่างไรก็ตาม ซาซ่า กล่าวด้วยว่า เรียนจบแล้วก็ยังคงชกมวยอยู่ ซึ่งในอนาคตเธอก็ฝันอยากมีธุรกิจของตัวเองเช่นกัน แต่ยังไม่ได้วางแผนว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใด
ซาซ่า เล่าอีกว่า ไม่ได้เป็นนักมวยไทยตั้งแต่เริ่มต้น แต่เล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก โดยตอนเป็นนักเรียนเล่นทั้งกีฬาวอลเลย์บอล บาสเกตบอล ฟุตบอล แบดมินตัน เทนนิส หรือกระทั่งกอล์ฟ ซึ่งอาจเป็นเพราะเธอเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ นิ่ง ๆ จึงอยากเรียนรู้ อยากลองเล่นกีฬาใหม่ ๆ ตลอดเวลา แต่มาจริงจังกับนักกีฬาอาชีพตอนอายุ 10 ขวบกับกีฬาขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ซึ่งเธอได้แรงบันดาลใจจากการได้เห็น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ที่ทรงเป็นนักกีฬาขี่ม้า
“ซ่าชอบเวลาพระองค์ท่านทรงม้า ดูสวย สง่างามมาก จึงอยากเป็นนักกีฬาขี่ม้าบ้าง โดยบอกคุณพ่อในวันเกิดของซ่าว่า พ่อ…ซ่าอยากขี่ม้าช่วยพาไปหน่อยคุณพ่อก็ถามกลับมาว่า…ม้าตัวใหญ่ไม่กลัวเหรอซ่าตอบว่าไม่กลัว คุณพ่อคุณแม่จึงพาไปเรียนขี่ม้าที่ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จ.สระบุรี หลังเลิกเรียน คุณพ่อก็จะมารอหน้าโรงเรียน และขับรถบึ่งไปที่เรียนขี่ม้า บางครั้งมีแข่งคุณพ่อก็จะรับส่งเช้า–เย็น และซ่าเคยเป็นแชมป์รุ่นซับจูเนียร์ เป็นการขี่กระโดดข้ามเครื่องกีดขวางที่ความสูง80 เซนติเมตรของสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งเป็นถ้วยพระราชทาน”
ทั้งนี้ เธอบอกว่า ด้วยความที่ค่าใช้จ่ายสูง จึงต้องเลิกเรียนขี่ม้า กับความรู้สึกตอนนั้น เธอยอมรับว่า เสียใจมาก แต่เข้าใจในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่อธิบายให้ฟัง โดยความรู้สึกตอนนั้น เธอเล่าว่า “ซ่าก็ถึงขั้นร้องไห้อยู่หลายวันเลยกว่าจะทำใจได้”
สำหรับเส้นทาง “นักมวยไทย” นั้น เธอบอกว่า เหตุที่เริ่มชกมวยไทยเพราะหลานที่เป็นนักมวยจาก จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นญาติทางฝ่ายคุณแม่ มาซ้อมมวยที่บ้าน ที่ จ.สระบุรี ซึ่งเป็น ค่ายมวย ศ.อารีย์ นั่นเอง เธอบอกว่า ค่ายมวยแห่งนี้ในตอนนั้นแทบไม่มีอะไรเลย มีกระสอบทราย 2-3 ลูก กับผ้ายางปูพื้นให้น้อง ๆ ใช้ซ้อมกัน ตอนนั้นคุณพ่อก็ชวนเธอให้ลองมาซ้อมมวย เพราะคุณพ่อเป็นนักมวยเก่า แต่ก็ให้เหตุผลที่อยากให้เธอซ้อมมวยแค่ว่า เธอจะได้ออกกำลังกาย ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้น เพราะไม่ได้ขี่ม้าแล้ว เธอเล่าต่อไปว่า ช่วง 2-3 วันแรกก็ลองเข้าไปมองดูคนอื่นซ้อมก่อน แต่ด้วยความที่อยู่นิ่งไม่เป็น จึงสวมนวมลองซ้อมดูบ้าง โดยมีคุณพ่อเป็นโค้ช จนมีโอกาสขึ้นชกจริง ๆ เมื่อตามหลานชายที่เป็นนักมวยไปด้วย จนได้รู้จักนักมวยหญิงชื่อ เพชรสโรชา ลูกทรายกองดิน หรือ สโรชา ยูฮันเงาะห์ ซึ่งนักมวยคนนี้ต่อมาได้เป็นคู่ชกคนแรกของเธอนั่นเอง
“ไฟต์แรกที่ขึ้นชก ซ่าไม่กลัวแต่ตื่นเต้น เจ็บก็ไม่กลัว ในหัวคิดเแค่จะทำอย่างไรให้ชนะ ชั้นเชิงการชกก็ยังไม่มี(หัวเราะ) ใช้แค่ใจอย่างเดียว ปรากฏซ่าชนะ ได้เงินรางวัลจำนวน500 บาท สำหรับเด็ก ๆ ถือว่าเยอะมาก เพราะนำไปซื้อของได้มากมาย” …ซาซ่า นักมวยสาวดีกรีแชมป์โลกรุ่น 112 ปอนด์ ระบุ พร้อมเผยว่า การชกครั้งแรกถือเป็นประสบการณ์ที่ดี จากจุดนั้นเธอจึงตัดสินใจชกมวยไทยอย่างจริงจัง และลงแข่งขันมาเรื่อย ๆ
สำหรับสถิติการชกของเธอจนถึงปัจจุบัน ขึ้นชกทั้งหมด 43 ครั้ง ที่สำคัญเปอร์เซ็นต์ชกชนะมากถึง 70% แถมยังเดินสายไปชกทั่วประเทศ และออกเดินสายชกในต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น และรัสเซีย ชื่อเสียงของเธอคนนี้โด่งดังไม่ใช่น้อย ทั้งนี้ ซาซ่าบอกว่า สมัยก่อนเวทีสำหรับนักมวยหญิงจะมีไม่มากเหมือนยุคนี้…เรียกว่าเธอนั้นเป็น มวยไทยหญิงรุ่นบุกเบิก ก็ว่าได้
“สมัยก่อนนักมวยหญิงก็ได้รับการยอมรับนะ แต่ฝีมือมวยหญิงสมัยก่อนจะไม่จัดจ้าน เมื่อเทียบกับยุคนี้ คือสมัยนี้เทียบฝีมือนักมวยสาว ๆ ก็มีมาตรฐานใกล้ ๆ กับนักมวยชายเลย ต่างกันที่ความแข็งแกร่ง ซึ่งผู้ชายจะได้เปรียบกว่า แต่เรื่องเทคนิคอะไรแบบนี้ นักมวยสาว ๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ธรรมดาแล้ว ซึ่งสมัยก่อนคนจะมองว่านักมวยหญิงขึ้นชกเหมือนว่ายน้ำใส่กัน คือใช้แรงอย่างเดียว ใครหมดแรงก็แพ้”…เป็นมุมวิเคราะห์ “มวยไทยหญิง” ระหว่างยุคนี้กับยุคก่อน
ซาซ่า นักมวยสาววัย 22 ปีบอก “ทีมวิถีชีวิต” ถึงจุดนี้ว่า ส่วนตัวดีใจที่ปัจจุบันมีผู้หญิงหันมาสนใจการชกมวยมากขึ้น แถมวงการมวยก็ยังให้การยอมรับ ในปัจจุบันจึงมีนักมวยสาวหน้าใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ผิดแผกจากเมื่อก่อนที่คนที่ไม่เข้าใจมักมองว่ากีฬามวยเป็นกีฬาป่าเถื่อน เป็นกีฬาที่เจ็บตัว แต่ในมุมของเธอที่คลุกคลีอยู่กับตรงนี้ เธออยากบอกว่ามวยไทยไม่ได้ใช้แค่แรง แต่สมองก็ต้องใช้ ต้องคิดตามไปด้วยขณะที่ต้องชก ซึ่งสมองบวกสติสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีสองสิ่งนี้โอกาสชนะก็ยิ่งน้อย ที่สำคัญหากคิดจะเป็นนักมวยอาชีพต้องรู้จักพัฒนาตัวเองตลอด ต้องดูเทปการแข่ง ศึกษาการชกของคู่ต่อสู้
“มวยไทยไม่ใช่กีฬาป่าเถื่อน แต่นี่เป็นศิลปะ…ที่สวยงาม มีอะไรที่แฝงไว้ในท่วงท่ามากมาย” …ซาซ่า ย้ำเรื่องนี้
ทั้งนี้ แม้สาว ๆ หลายคนจะยกให้เธอเป็น “ไอดอล” แต่สำหรับเธอเอง เธอก็มีไอดอลเป็นนักมวยชาย คือ ยอดแสนไกล แฟร์เท็กซ์ ยอดนักมวยไทยเบอร์ 1 ของโลก กับ แสนชัย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม หรือ แสนชัย ส.คิงสตาร์
“ทีมวิถีชีวิต” ถามเธอถึงชื่อเสียงในวันนี้ เธอตอบว่าที่โด่งดังขึ้นเพราะได้ชกในรายการศึกอัศวินดำ ซึ่งเป็นคู่พิเศษที่มีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ จึงทำให้มีคนรู้จักเธอมากขึ้น และยิ่งยุคนี้เป็นยุคโซเชียลมีเดียฯ มีคนนำเรื่องราวของเธอไปโพสต์-แชร์ต่อ ๆ กัน จนทำให้ชื่อ “ซาซ่า ศ.อารีย์” เป็นจุดสนใจของคนนอกวงการหมัดมวยมากขึ้น ซึ่งเธอบอกว่า “เป็นโชคดีของซ่าค่ะ”
ความสำเร็จในชีวิตที่ผ่านมา เธอคนนี้ย้ำว่า เธอโชคดีมากที่ได้โค้ชคนแรกเป็นคุณพ่อของเธอ อีกทั้งเธอคงจะก้าวมาไม่ถึงจุดที่ยืนอยู่ในวันนี้ ถ้าหากไม่ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากครอบครัวของเธอ ที่ให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างเธอตลอด ทั้งยามทุกข์ ทั้งยามสุข หรือแม้แต่ในวันที่ไม่มีใครเข้าใจ ด้วยเหตุนี้เธอจึงอยากจะชกให้ดีที่สุดทุกครั้ง เพื่อทำให้ครอบครัวภูมิใจ ถ้าไม่มีครอบครัว ถ้าครอบครัวไม่ให้กำลังใจ เธอก็อาจจะเดินมาไม่ถึงจุดนี้…อาจไม่มี “นักมวยไทยหญิง” ที่เด่นทั้งเชิงชก และความสวย
ทีมา: http://www.saraupdate.com/6185